
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่สะท้อนถึงความห่วงใยของพระองค์เรื่องภาษาไทย โดยทรงชี้แนะพสกนิกรของพระองค์ให้ ตระหนักถึงความสำคัญของภาษา และการช่วยกันธำรงรักษาวัฒนธรรมทางภาษาที่ดีงามของ ชาติไว้มิให้เสื่อมสูญ ดังความตอนหนึ่งว่า “ภาษาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับบ้านเมือง ขอให้ร่วมมือกันรักษามาตรฐานของภาษาไทยไว้อย่าให้ทรุดโทรม” (อ้างถึงใน พยุงศักดิ์ จันทรสุรินทร์, ๒๕๓๘ : คำนำ)
ภาษาไทยในฐานะเป็นเครื่องมือสื่อสาร ในชีวิตประจำวันของคนไทย ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นลืมตาจนกระทั่งนอนหลับ เราต้องใช้ภาษาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องถือว่า คนไทยเป็นผู้ที่โชคดีที่บรรพบุรุษของเรามีความชาญฉลาด สามารถประดิษฐ์คิดค้นภาษาของตนเองขึ้นใช้ทั้งภาษาพูด และภาษาที่เป็นตัวอักษรใช้แทนเสียง ภาษาไทยจึงเป็นมรดกอันล้ำค่าที่ บรรพบุรุษได้สร้างไว้และถ่ายทอดสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้น เราในฐานะลูกหลานไทยจึงควรภาคภูมิใจที่ชาติไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติมากว่า ๗๐๐ ปี และภาษาไทยจะยังคงยั่งยืนตลอดไป ถ้าทุกคนตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย ช่วยกันธำรงรักษาและพัฒนาภาษาไทยไว้มิให้ผันแปรไปในทาง เสื่อมโทรมลงไป ดังกระแสพระราชดำรัสที่อัญเชิญมาข้างต้นแล้ว
ลักษณะเด่นของภาษาไทย
ภาษาไทยมีลักษณะเฉพาะที่เป็นของตนเอง แตกต่างจากภาษาอื่น ๆ หลายประการดังนี้
๑. ภาษาไทยมีตัวอักษรเป็นของตนเอง ตั้งแต่พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรง-ประดิษฐ์ลายสือไทขึ้นในปี พ.ศ. ๑๘๒๖ อันเป็นต้นกำเนิดอักษรไทย จากนั้นอักษรไทย จึงได้วิวัฒนาการเป็นลำดับมาจนถึงปัจจุบัน ตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะเป็นของตนเองหลายประการดังนี้
๑.๑ ตัวอักษรใช้แทนเสียงแท้ เรียกว่า สระ สระในภาษาไทยมี ๒๑ รูป ๓๒ เสียง รูปสระ ๒๑ รูป มีชื่อเรียกดังต่อไปนี้
ะ เรียก วิสรรชนีย์ า เรียก ลากข้าง
ิ ” พินทุ์อิ ' ” ฝนทอง
ํ ” หยาดน้ำค้าง " ” ฟันหนู
ุ ” ตีนเหยียด ู ” ตีนคู้
เ ” ไม้หน้า โ ” ไม้โอ
็ ” ไม้ไต่คู้ ั ” ไม้หันอากาศ
(หรือไม้ผัด)
อ ” ตัว ออ ว ” ตัว วอ
ย ” ตัว ยอ ไ ” ไม้มลาย
ใ ” ไม้ม้วน
ฤ ” ตัวรึ ฤๅ ” ตัวรือ
ฦ ” ตัวลึ ฦๅ ” ตัวลือ
เสียงสระ ๓๒ เสียง จำแนกเป็น สระเสียงสั้น (รัสสระ) พวกหนึ่ง และสระเสียงยาว (ทีฆสระ) อีกพวกหนึ่ง ได้แก่
สระเสียงสั้น (รัสสระ)
สระเสียงยาว (ทีฆสระ)
อะ
อิ
อึ
อุ
อา
อี
อื
อู
สระเสียงสั้น (รัสสระ)
สระเสียงยาว (ทีฆสระ)
เอะ
แอะ
โอะ
เอาะ
เออะ
เอียะ
เอือะ
อัวะ
อำ
ไอ
ใอ
เอา
ฤ
ฦ
เอ
แอ
โอ
ออ
เออ
เอีย
เอือ
อัว
ฤๅ
ฦๅ
การที่รูปสระในภาษาไทยมีเพียง ๒๑ รูป แต่มีเสียงมากถึง ๓๒ เสียง ทั้งนี้เนื่องจากมีเสียงสระจำนวนหนึ่งเกิดจากการนำรูปสระ ๒ รูปบ้าง ๓ รูปบ้าง ๔ รูปบ้าง และ ๕ รูปบ้าง มาผสมกันทำให้เกิดเสียงสระใหม่ในภาษาขึ้น ดังตัวอย่าง
สระแอ เกิดจากนำรูปสระ เ (ไม้หน้า) ผสมกัน ๒ ตัว
สระแอะ เกิดจากนำรูปสระ เ (ไม้หน้า) ผสมกัน ๒ ตัว และ ะ (วิสรรชนีย์) รวมเป็น ๓ รูป
สระเอีย เกิดจากนำรูปสระ เ (ไม้หน้า) ผสมกับ ิ (พินทุ์อิ) ผสมกับ ่ (ฝนทอง)และ ย (ตัวยอ) รวมเป็น ๔ รูป
สระเอือะ เกิดจากนำรูปสระ เ (ไม้หน้า) ผสมกับ ิ (พินทุ์อิ) ผสมกับ " (ฟันหนู) ผสมกับ อ (ตัวออ) และ ะ (วิสรรชนีย์) รวมเป็น ๕ รูป
นอกจากนี้ สระทั้ง ๒๑ รูปยังมีลักษณะการใช้แตกต่างกันสรุปได้ดังนี้
๑.๑.๑ เป็นรูปสระที่เมื่อประสมกับพยัญชนะแล้วออกเสียงได้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูป มีจำนวน ๑๑ รูป ดังนี้ ะ า ุ ู เ โ ไ ใ ฤ อ
๑.๑.๒ เป็นรูปสระที่มีลักษณะพิเศษ กล่าวคือ เป็นสระที่ไม่ต้องเกาะอยู่กับพยัญชนะก็ได้ เรียกว่า สระลอย มี ๔ รูป ได้แก่ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ เช่น ฤดี ฤๅษี ส่วน ฦ ฦๅ เป็นรูปสระที่ใช้แทนเสียง ลึ ลือ ในสมัยโบราณ ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว เช่น ฦกซึ้ง ดงฦก เลื่องฦๅ ฦๅชา เป็นต้น หรือประสมกับพยัญชนะก็ได้ เรียกว่า สระจม เช่น พฤกษ์ มฤค เป็นต้น
๑.๑.๓ เป็นรูปสระที่ปรากฏในพยางค์ แม่ ก กา ต้องมี “อ” เคียงเสมอ
ได้แก่ สระ ื เช่น มือ ถือ ซื้อ เป็นต้น
๑.๑.๔ รูปสระบางตัวเมื่อปรากฏในพยางค์ที่มีตัวสะกดจะเปลี่ยนแปลงรูป ได้แก่
ะ (สระอะ) เปลี่ยนเป็น ั เช่น ฉัน กัน วัน เป็นต้น
เ ะ (สระเอะ) เปลี่ยน ะ เป็น ็ เช่น เด็ก เล็ก เผ็ด เป็นต้น
แ ะ (สระแอะ) เปลี่ยน ะ เป็น ็ เช่น แข็ง เป็นต้น
เ าะ (สระเอาะ) เปลี่ยน เ าะ เป็น ็อ เช่น ล็อก เป็นต้น
เ อ (สระเออ) เปลี่ยน อ เป็น ิ เช่น เดิน เทิด เลิศ เป็นต้น (ยกเว้นพยางค์ที่สะกดด้วยแม่เกย)
๑.๑.๕ รูปสระบางตัวจะลดรูป กล่าวคือ ไม่ปรากฏรูปสระบางส่วนหรือทั้งหมดในพยางค์ เช่น รถ รูปสระโอะหายไป กร รูปสระออ หายไป ดวง รูปไม้หัน-อากาศหายไป เป็นต้น
๑.๒ ตัวอักษรแทนเสียงแปร เรียกว่า พยัญชนะ พยัญชนะไทยมี ๔๔ รูป ๒๑ เสียง พยัญชนะ ๔๔ รูปดังนี้
ก ข ฃ ค ฅ ฆ ง
จ ฉ ช ซ ฌ ญ
ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ น
บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม
ย ร ล ว ศ ษ ส ห
ฬ อ ฮ
เนื่องจากพยัญชนะทั้ง ๔๔ รูปมีเสียงซ้ำ ๆ กันหลายรูปดังนี้
/ค/ ใช้พยัญชนะ ข ฃ ค ฅ ฆ
/ช/ ” ช ฌ ฉ
/ซ/ ” ซ ศ ษ ส
/ด/ ” ด ฎ
/ต/ ” ต ฏ
/ท/ ” ท ธ ฑ ฒ ถ ฐ
/น/ ” น ณ
/พ/ ” พ ภ ผ
/ฟ/ ” ฟ ฝ
/ย/ ” ย ญ
/ล/ ” ล ฬ
/ฮ/ ” ห ฮ
ดังนั้น เสียงพยัญชนะในภาษาไทยจึงมีเพียง จำนวน ๒๑ เสียง ด้วยเหตุผล ดังกล่าว
๑.๓ ตัวอักษรแทนเสียงดนตรี เรียกว่า วรรณยุกต์ มี ๔ รูป ๕ เสียง ดังนี้
่ เรียก ไม้เอก ้ เรียก ไม้โท
๊ ” ไม้ตรี ๋ ” ไม้จัตวา
และเสียงสามัญไม่มีรูปปรากฏ
๑.๔ ตัวเลข เลขไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติที่ควรค่าแก่ความภาคภูมิใจและควรรักษาไว้อย่างยิ่ง คือ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐
๑.๕ เครื่องหมาย ๆ เรียกว่า ไม้ยมก ตามรูปศัพท์แปลว่า คู่ เป็นเครื่อง-หมายเพื่อใช้แสดงการซ้ำคำ วลี หรือประโยค อัครา บุญทิพย์ (๒๕๓๔ : ๔๐) สันนิษฐานว่า “ไม้ยมกน่าจะพัฒนามาจากรูปตัวเลข ๒ ของไทย โดยสังเกตจากหนังสือสมุดข่อย ใบลาน ถ้าต้องการให้อ่านซ้ำจะใช้ ๒ กำกับท้ายคำนั้น ๆ”
๑.๖ เครื่องหมาย ฯ เรียกว่า ไปยาลน้อย เป็นเครื่องหมายที่ใช้ละคำที่รู้จักกันทั่วไปแล้ว โดยเขียนไว้ท้ายคำหลักเช่น กรุงเทพฯ เครื่องหมายไปยาลน้อยใช้รูปเดียวกับเครื่องหมายคั่นเดี่ยว ( ฯ ) เครื่องหมายวรรคตอนโบราณของไทย ที่ใช้เมื่อจะจบข้อความประโยคหนึ่ง จบบทประพันธ์บทหนึ่ง จบเนื้อความตอนหนึ่ง และใช้เขียนบอกวันทางจันทรคติ
๑.๗ เครื่องหมาย ฯลฯ เรียกว่า ไปยาลใหญ่ เป็นเครื่องหมายใช้ละ ข้อความที่ยกมากล่าวถึง มีวิธีใช้ ๒ ประการ คือ
๑.๗.๑ ใช้ละข้อความตอนปลายไม่มีกำหนด ไม่ต้องอ่านข้อความที่ละไว้ ให้อ่าน “ละ” แทน เช่น “ผ้าอาจมีลักษณนามเป็นผืน พับ ม้วน ตั้ง ฯลฯ” อ่านว่า ผ้าอาจมีลักษณนามเป็นผืน พับ ม้วน ตั้ง ละ
๑.๗.๒ ใช้ละข้อความตอนกลางบอกตอนจบ ไม่ต้องอ่านข้อความตอนกลางที่ละไว้ ให้อ่านว่า “ละถึง” แทน ตัวอย่าง
เนื้อเพลงน้ำตาอีสาน ของชลธี ธารทอง เริ่มต้นจาก ดินแยกแตกระแหง ต้นใบไม้เฉาแห้งแรงไม่มี ฯลฯ แม้นชีพมลาย นอนตายดิ้น ช่วยฝังดินนึกว่าเอาบุญ อ่านว่า เนื้อเพลงน้ำตาอีสาน ของชลธี ธารทอง เริ่มจาก ดินแยกแตกระแหง ต้นใบไม้เฉาแห้งแรงไม่มี ละถึง แม้นชีพมลาย นอนตายดิ้น ช่วยฝังดินนึกว่าเอาบุญ
๒. ภาษาไทยเป็นภาษาคำโดด หมายถึง เป็นภาษาที่นำเอาคำในภาษาไปใช้ได้โดยลำพัง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปคำเพื่อบอกความสัมพันธ์ระหว่างคำในประโยค แต่ละคำมีอิสระในตัวเอง ความหมายหรือหน้าที่ของคำต้องดูที่ตำแหน่งที่ปรากฏในประโยค เช่น
พ่อให้แจกันแก่ลูก
ลูกให้แจกันแก่พ่อ
คำในประโยคตัวอย่างทุกคำต่างเป็นคำมูลที่มีอิสระต่อกัน ไม่สามารถแยกรูปแยกรูปให้เล็กลงโดยรูปที่แยกนั้นมีความหมายได้อีก ความหมายจะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อหน้าที่ของคำในประโยคเปลี่ยนไป
๓. คำในภาษาไทยส่วนใหญ่เป็นคำพยางค์เดียว หมายถึงคำที่มีส่วนประกอบด้วยหน่วยเสียงอย่างน้อย ๓ หน่วย คือหน่วยเสียงพยัญชนะต้น หน่วยเสียงสระ และหน่วยเสียงวรรณยุกต์ คำพยางค์เดียวในภาษาไทยสังเกตได้จากหมวดคำพื้นฐานในภาษา ซึ่งเป็นคำดั้งเดิมในภาษาไทยที่ใช้กันในชีวิตประจำวัน ได้แก่
๓.๑ คำเรียกเครือญาติ เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า ฯลฯ
๓.๒ คำกริยาทั่วไป เช่น ยืน เดิน กิน ดื่ม นั่ง นอน ยิง วิ่ง ตี ตาย ฯลฯ
๓.๓ คำใช้เรียกชื่อสัตว์ต่าง ๆ เช่น ม้า วัว หมู แมว เป็ด ไก่ ช้าง ม้า ฯลฯ
๓.๔ คำใช้เรียกสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น เสื้อ ผ้า ชาม จาน ไห ถ้วย โถ มีด ไร่ นา ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม คำหลายพยางค์ก็มีในภาษาไทยด้วยเช่นกัน เช่น หนังสือ อย่างนี้ จิ้งจก บันไดเลื่อน ดินสอพอง ขะมักเขม่น เป็นต้น
๔. ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปคำเมื่อนำไปเข้าประโยค เพื่อแสดงเพศ พจน์ กาล มาลา และวาจก หากต้องการบอกสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าว จะใช้คำขยายช่วย เช่น
นักศึกษาชาย นักศึกษาหญิง (แสดงเพศ)
อาจารย์หลายคน อาจารย์ทั้งหมด (แสดงพจน์)
ผู้แทนฝ่ายค้านกำลังอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล (แสดงกาล)
เธอควรอ่านหนังสือ (แสดงมาลา)
ช้างป่าถูกเผานั่งยางกลางป่า (แสดงวาจก)
ฯลฯ.
๕. ภาษาไทยส่วนมากใช้ตัวสะกดตรงตามมาตราตัวสะกด คือ
แม่ กก ใช้ ก เป็นตัวสะกด เช่น แมกไม้ แยก แสก ฉาก ฯลฯ
แม่ กง ใช้ ง เป็นตัวสะกด เช่น เก่ง แพง แว้ง ล่าง ฯลฯ
แม่ กน ใช้ น เป็นตัวสะกด เช่น นอน แกน ปีน กิน ฯลฯ
แม่ กม ใช้ ม เป็นตัวสะกด เช่น ลม ต้ม ส้ม ล้ม แก้ม ฯลฯ
แม่ กบ ใช้ บ เป็นตัวสะกด เช่น เล็บ งบ แวบ แหบ ฯลฯ
แม่ กด ใช้ ด เป็นตัวสะกด เช่น หด ลาด รีด มืด ฯลฯ
แม่ เกย ใช้ ย เป็นตัวสะกด เช่น เคย มากมาย ก่าย หาย
แม่ เกอว ใช้ ว เป็นตัวสะกด เช่น แห้ว เลว ลิ่ว เขี้ยว แก้ว ฯลฯ
อนึ่ง พยางค์ที่ไม่มีตัวสะกดเรามักเรียกว่า ตัวสะกดในแม่ ก กา เช่น มา ดี ไร่ นา เป็นต้น
๖. คำในภาษาไทยมีลักษณนาม เพื่อบอกลักษณะของคำนามที่อยู่ข้างหน้า เช่น แหวน ๓ วง เสือ ๘ ตัว ขนมจีน ๒ จับ พลู ๕ จีบ ลักษณนาม ถือได้ว่าเป็นลักษณะพิเศษของภาษาไทย คำนาม ๑ คำ อาจมีลักษณนามเรียกได้หลายคำขึ้นอยู่กับลักษณะต่าง ๆ ของ คำนามที่ปรากฏ เช่น ลักษณนามของผ้า อาจมีลักษณนามเป็น ผืน พับ ม้วน ตั้ง กล่อง ฯลฯ.
อนึ่ง คำลักษณนามที่บอกจำนวนนับที่ไม่เกินหนึ่ง อาจปรากฏอยู่หน้าจำนวนนับ เช่น
นกตัวหนึ่งบินข้ามเสาธงหน้าอาคารเรียน
นักศึกษาคนหนึ่งสอบได้เกียรตินิยม
จำนวนนับที่เป็น ๑๐๐ ๑,๐๐๐ ๑๐,๐๐๐ เป็นต้น ในภาษาพูดนิยมใช้ ร้อยหนึ่ง พันหนึ่ง หมื่นหนึ่ง ก็มี
นอกจากนี้ ลักษณนามอาจปรากฏติดกับคำนามโดยละจำนวนนับที่เป็นหนึ่งไว้ในฐานที่เข้าใจ ซึ่งมักใช้เพื่อเน้นข้อความ เช่น
บ้านหลังนี้ทาสีสวย
ตำรวจคนนั้นปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง
๗. ภาษาไทยมีระบบเสียงวรรณยุกต์ เสียงวรรณยุกต์ช่วยทำให้ภาษาไทยมีคำไว้ใช้เพิ่มขึ้น เสียงที่เปลี่ยนไปทำให้คำมีความหมายเปลี่ยนแปลงไปด้วย เช่น เสือ เสื่อ เสื้อ การเปลี่ยนแปลงระดับเสียงของคำในลักษณะนี้ทำให้ภาษาไทยมีความไพเราะประดุจเสียงดนตรี คำในภาษาไทยจึงจัดอยู่ในจำพวก ภาษาดนตรี (musical language) หากรู้จักเลือกคำได้เหมาะก็ทำให้ผู้อ่านได้อรรถรส หรือเกิดมโนภาพได้ง่าย เช่น
ต้อยตะริดติดตี่เจ้าพี่เอ๋ย จะละเลยเร่ร่อนไปนอนไหน
แอ้อีอ่อยสร้อยฟ้าสุมาลัย แม้นเด็ดได้แล้วไม่ร้างให้ห่างเชย
ฉุยฉายชื่นรื่นรวยระทวยทอด จะกล่อมกอดกว่าจะหลับกับเขนย
หนาวน้ำค้างพร่างพรมลมรำเพย ใครจะเชยโฉมน้องประคองนอน
เสนาะดังวังเวงเป็นเพลงพลอด เสียงฉอดฉอดชดช้อยระห้อยหวน
วิเวกแว่วแจ้วในใจรัญจวน เป็นความชวนประโลมโฉมวัณฬา
(สุนทรภู่ ๒๕๐๙ : ๕๐๒)
๘. ภาษาไทยนิยมคำคล้องจอง อันแสดงอัจฉริยลักษณ์ทางภาษาด้านหนึ่งของ
คนไทย คำคล้องจองอาจแบ่งได้ตามจำนวนคำที่ปรากฏเป็น ๕ ประเภท ดังนี้
๘.๑ คล้องจอง ๔ คำ เช่น ข้าวยากหมากแพง ข้าวแดงแกงร้อน ว่านอนสอนง่าย เป็นต้น
๘.๒ คล้องจอง ๖ คำ เช่น ยุให้รำตำให้รั่ว หวานเป็นลมขมเป็นยา เข้าทางตรอกออกทางประตู เป็นต้น
๘.๓ คล้องจอง ๘ คำ เช่น กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก เป็นต้น
๘.๔ คล้องจอง ๑๐ คำ เช่น คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ ดูช้างให้ ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา เป็นต้น
๘.๕ คล้องจอง ๑๒ คำ เช่น
ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน
เปิดหม้อไม่มีข้าวสุก เปิดสมุกไม่มีข้าวสาร
บุญมาวาสนาช่วย ที่ป่วยก็หายที่หน่ายก็รัก
ฯลฯ
๙. คำในภาษาไทยมีเสียงควบกล้ำไม่มากนัก เสียงควบกล้ำที่ปรากฏมาแต่เดิมในระบบเสียงของภาษาไทยได้แก่
๙.๑ เสียง /กร/ เช่น กราน เกรง กร้าน กริ่ง ฯลฯ
๙.๒ เสียง /กล/ เช่น เกลื่อน กลาด เกลียด กลัว กลอก ฯลฯ
๙.๓ เสียง /กว/ เช่น กวาด ไกว แกว่ง แกว่น ฯลฯ
๙.๔ เสียง /ขร/ เช่น ขรัว ขรุ ขระ ฯลฯ
๙.๕ เสียง /ขล/ เช่น ขลุก ขลิก ขลุม ขลุ่ย ฯลฯ
๙.๖ เสียง /ขว/ เช่น แขวน ขวาน ไขว่ ขวับ ฯลฯ
๙.๗ เสียง /คร/ เช่น คราด เคร่ง ครัด เครียด ฯลฯ
๙.๘ เสียง /คล/ เช่น คละ คลุ้ง คล้าย โคลง คล้าม ฯลฯ
๙.๙ เสียง /คว/ เช่น ควาย ความ คว้า ควัก ฯลฯ
๙.๑๐ เสียง /ตร/ เช่น ตรู่ ตราบ ตรอก ตรม ตรอม ฯลฯ
๙.๑๑ เสียง /ปร/ เช่น ปรับ แปร๊ด แประ ปรุง เปรียว ฯลฯ
๙.๑๒ เสียง /ปล/ เช่น เปลี่ยน แปลง ปล้น เปล้า ปลิง ฯลฯ
๙.๑๓ เสียง /พร/ เช่น พราย พร้อม พร่ำ พรั่น พรึง ฯลฯ
๙.๑๔ เสียง /พล/ เช่น พลิก พล่าม พลอย พลั้ง ฯลฯ
ส่วนเสียงควบกล้ำที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น เสียง /ดร/ /ฟร/ /ฟล/ /บร/ /บล/ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเสียงที่ได้รับอิทธิพลจากภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ เช่นดรัมเมเยอร์ ฟรี ฟลอร์ บรอดเวย์ บลูส์ เป็นต้น
ความรู้เกี่ยวกับเรื่องคำ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ (๒๕๓๘ : ๑๘๖) ให้ความหมายของ “คำ” ว่า เสียงพูดหรือลายลักษณ์อักษรที่เขียนหรือพิมพ์ขึ้นเพื่อแสดงความคิด โดยปรกติถือว่า เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดซึ่งมีความหมายในตัว
จากนิยามดังกล่าว “คำ” จึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของภาษาที่มนุษย์ใช้สื่อความหมาย ความเข้าใจซึ่งกันและกัน ซึ่งสอดคล้องกับปรีชา ช้างขวัญยืน (๒๕๒๘ : ๑) ที่ได้กล่าวถึงหน้าที่ที่สำคัญของคำไว้ว่า “คำทำหน้าที่เป็นเครื่องหมายหรือสิ่งที่บอกความหมายและเราตีความหมายได้”
การใช้คำเพื่อสื่อความหมายในชีวิตประจำวัน เราควรคำนึงถึงลักษณะที่สำคัญของ “คำ” ดังนี้
๑. ลักษณะทางความหมาย คำทุกคำในภาษาย่อมต้องมีความหมาย ดังที่ นวรรณ
พันธุเมธา (๒๕๓๕ : ๗๙-๘๔) จำแนกความหมายของคำออกเป็น ๖ ลักษณะ ดังนี้
๑.๑ คำที่มีความหมายกว้างและความหมายแคบ ตัวอย่างคำที่มีความหมายกว้างแคบต่างกันต่อไปนี้ เรียงลำดับจากคอลัมน์ที่ ๑ เป็นคำที่มีความหมายกว้างที่สุดในกลุ่ม ถึงคอลัมน์ที่ ๔ เป็นคำที่มีความหมายแคบที่สุด ดังนี้
๑.๑ คำมีความหมายกว้างและความหมายแคบ ตัวอย่างคำที่มีความหมายกว้างแคบต่างกันต่อไปนี้ เรียงลำดับจากคอลัมน์ที่ ๑ เป็นคำที่มีความหมายกว้างที่สุดในกลุ่ม ถึงคอลัมน์ที่ ๔ เป็นคำที่มีความหมายแคบที่สุด ดังนี้
๑
๒
๓
๔
เครื่องนุ่งห่ม
สัตว์
เครื่องดนตรี
เครื่องสาน
ที่อยู่
เสื้อ
แมลง
เครื่องดนตรีไทย
ตะกร้า
บ้าน
เสื้อพระราชทาน
ยุง
ซอ
ตะกร้าจ่ายของ
บ้านไม้
-
ยุงลาย
ซออู้
-
บ้านไม้สัก
๑.๒ คำที่มีความหมายตามตัวและความหมายอุปมา เช่น
ความหมายตามตัว
ความหมายอุปมา
หัว : อวัยวะ
หน้า : อวัยวะ
ปาก : อวัยวะ
กา : สัตว์ชนิดหนึ่ง
ซัก : ทำความสะอาดด้วยน้ำ
ฟอก : ทำให้สะอาด
หัวหน้า : ผู้เป็นใหญ่ในหมู่หนึ่ง ๆ
ปากกา : เครื่องสำหรับขีดเขียนชนิดหนึ่ง
ใช้กับหมึกหรือสิ่งอื่น ๆ
ซักฟอก : ซักถามให้ได้ความจะแจ้ง
๑.๓ คำที่มีความหมายนัยตรงและความหมายนัยประหวัด
นัยตรง
นัยประหวัด
แดง "สี"
ขาว "สี"
หงส์ "สัตว์"
ดอกหญ้า "ดอกไม้"
การต่อสู้
ความบริสุทธิ์
ผู้สูงศักดิ์
ผู้ต่ำต้อย
๑.๔ คำที่มีความหมายคล้ายกัน คำเหล่านี้ส่วนมากมักใช้แทนกันไม่ได้ มักมีความแตกต่างกัน ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ดังนี้
๑.๔.๑ มีที่ใช้ผิดกัน
ภาพยนตร์ ใช้ในภาษาเขียน
หนัง ใช้ในภาษาพูด
เรียน ใช้ในภาษาราชการ
บอก ใช้ในภาษาไม่เป็นทางการ
พนัส ใช้ในภาษาร้อยกรอง
ป่า ใช้ในภาษาร้อยแก้ว
กิน ใช้กับบุคคลสามัญ
ฉัน ใช้กับพระภิกษุ
เสวย ใช้กับเจ้านาย
๑.๔.๒ มีความหมายต่างกันตามระดับมากน้อย เช่น เกลียด มีความรุนแรงกว่า ชัง รัก มีความรุนแรงมากกว่า ชอบ
๑.๔.๓ ใช้กับคำต่างกัน เช่น ผอม ใช้กับสิ่งมีชีวิต บาง ใช้กับสิ่ง ไม่มีชีวิต บูด ใช้กับอาหาร เน่า ใช้กับผักสด เนื้อสัตว์ ฯลฯ
๑.๕ คำที่มีความหมายตรงกันข้าม เช่น แพ้ - ชนะ ครู - ศิษย์ ยาก –
ง่าย สุข- ทุกข์ ตื่น-หลับ อ้วน - ผอม พ่อ - แม่ ชาย - หญิง ฯลฯ
๑.๖ คำที่มีหลายความหมาย เช่น
ขัด หมายความว่า ๑. ฝ่าฝืน เช่น ขัดคำสั่ง
๒. ไม่คล่อง เช่น หายใจขัด
๓. ไม่ลงลอยกัน เช่น สองคนนี้ขัดกันอยู่เรื่อย
๒. ลักษณะทางการใช้ การติดต่อสื่อสารกันด้วยภาษา การใช้คำเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ผู้สื่อสารจะต้องสามารถใช้คำได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือ จะต้องรู้จักเลือกคำมาใช้ได้อย่างเหมาะสมและตรงความหมายที่ต้องการใช้คำ ผู้ใช้ภาษาควรมีความรู้ในเรื่องต่อไปนี้
๒.๑ ระดับของคำ ภาษาทั่วโลกจะมีระดับของการใช้คำตามลักษณะของสิ่งที่เกี่ยวข้อง ระดับของคำในภาษาแบ่งโดยลักษณะกว้างออกเป็น ๓ ระดับ ได้แก่
๒.๑.๑ คำระดับภาษาปาก (Colloquils) เป็นระดับคำที่ไม่ได้ มาตรฐาน ใช้ในการสนทนาพูดจาของประชาชนทั่วไป ที่คุ้นเคยสนิทสนม ในสถานการณ์ที่ไม่เป็นทางการ คำระดับภาษาปาก รวมถึงภาษาระดับย่อย ๆ กล่าวคือ คำภาษาตลาด คำภาษาคะนอง (Slang) คำภาษาถิ่น (Dilects) คำหยาบ คำเฉพาะอาชีพ คำหนังสือพิมพ์ (โดยเฉพาะคำที่ใช้พาดหัวข่าว)
๒.๑.๒ คำระดับกึ่งแบบแผน (Informal) เป็นระดับของคำที่มีลักษณะก้ำกึ่งกันระหว่างภาษาปากกับภาษาแบบแผน ใช้พูดหรือเขียนที่ต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น ในชีวิตประจำวันของประชาชนทั่วไป นิยมติดต่อสื่อสารกันด้วยถ้อยคำระดับนี้
๒.๑.๓ คำระดับแบบแผนหรือมาตรฐาน (Formal) เป็นระดับคำที่ใช้พูดหรือเขียนในสถานการณ์อย่างเป็นทางการ มีลักษณะเคร่งครัดตามแบบแผนและเป็นภาษาในระดับที่ยอมรับกันทั่วไปว่าได้มาตรฐาน
ตัวอย่างการใช้คำ ๓ ระดับ
ภาษาปาก
กึ่งแบบแผน
แบบแผน
หนู ฉัน ข้า ผม กู แดง ฯลฯ
กิน
อยากได้
ตาย
ยังไง
ซังเต
ข้าว
ในหลวง
ฉัน ดิฉัน ผม กระผม
ทาน รับ รับทาน
ต้องการ
เสีย
อย่างไร
คุก
ข้าว
พระเจ้าอยู่หัว
ฯลฯ
ข้าพเจ้า
รับประทาน เสวย
มีความประสงค์
ถึงแก่กรรม
อย่างใด
เรือนจำ
ข้าว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อนึ่ง การจัดแบ่งระดับคำเป็น ๓ ระดับ เป็นการแบ่งอย่างกว้าง ๆ ในความเป็นจริงไม่อาจแยกออกจากกันได้โดยเด็ดขาด คำบางคำอาจใช้ได้ในหลายระดับ บางคำก็ไม่สามารถแยกระดับได้ ผู้ใช้ภาษาจะต้องหมั่นสังเกตและเลือกใช้ให้เหมาะกับกาลเทศะและสถานการณ์การสื่อสารเอง
๒.๒ การใช้คำให้ตรงความหมายและบริบท เช่น แถลง ชี้แจง เปิดเผย ทั้ง ๓ คำ หมายถึง บอกเล่าเรื่องราวให้ทราบ ให้เข้าใจ แต่ใช้บริบทที่แตกต่างกัน ดังนี้
แถลง : มักใช้เมื่อมีเหตุการณ์หรือเรื่องราวอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นจึงมีการแถลงหรือแจ้งให้ทราบ เช่น โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงข่าวการประชุมคณะ- รัฐมนตรี
ชี้แจง : มักใช้เมื่อมีผู้ถามปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา เนื่องจากไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด จึงมีการชี้แจงให้ทราบ เช่น อธิการบดีชี้แจงถึงขั้นตอนการรับนักศึกษาใหม่
เปิดเผย : มักใช้ในความหมายว่าพูดให้รู้ถึงสิ่งที่เป็นความลับหรือนำ
ความลับมาเล่าให้ฟัง เช่น คณะกรรมการเปิดเผยข้อสัญญาที่ทำไว้กับต่างประเทศ
คำในภาษาไทยบางคำมีความหมายใกล้เคียงกันหรือคล้ายคลึงกัน แต่ก็ไม่ สามารถนำมาใช้แทนกันได้ ขอให้สังเกตการใช้คำที่ไม่ตรงความหมายในประโยคต่อไปนี้
นกสามารถขยับขยายพันธุ์ได้มากขึ้น
คำว่า "ขยับขยาย" หมายความว่า แก้ไขให้คลายความลำบากหรือ คับแคบเพื่อให้เหมาะแก่ความต้องการหรือเหตุการณ์ การใช้คำ "ขยับขยาย" ในประโยคข้างต้นไม่ตรงกับความหมายที่ต้องการใช้ ควรใช้คำว่า "ขยาย" ซึ่งหมายความว่า ทำให้มากขึ้นแทน
วิทยากรจะสาธิตการทำขนมไทยให้ดูสด ๆ ร้อน ๆ
คำว่า "สด ๆ ร้อน ๆ" หมายความว่า ทันทีทันใด ใหม่ ๆ ไว ๆ ความหมายที่ต้องการจะสื่อ ในประโยคข้างต้น คือ ทำให้ดูขณะนั้นเลย ดังนั้นจึงควรใช้คำว่า "สด ๆ" แทน
เขาเป็นคนเก่งจริง ๆ ที่ได้รับรางวัลคราวนี้ก็สาสมแล้ว
คำว่า "สาสม" หมายถึง เหมาะควร ใช้สื่อความหมายในด้านลบ เช่น สาสมกับความประพฤติอันเลวร้ายของเขา แต่ประโยคนี้ต้องการสื่อความหมายไปทางด้านบวกหรือยกย่อง จึงควรใช้คำว่า "เหมาะสม หรือ สมควร" แทน
๒.๓ การใช้คำที่ชัดเจนไม่กำกวม คำกำกวม คือคำที่มีความหมายมากกว่า ๑ ความหมาย เป็นคำที่เมื่อใช้แล้วจะทำให้ความที่พูดหรือเขียนตีความได้หลายแง่ เช่น ประโยคว่า หล่อนเป็นคนใช้ฉันเอง คำว่า "คนใช้" อาจหมายถึง คนรับใช้ หรือ คนที่ใช้ ก็ได้ การแก้ไขให้ความในประโยคนี้ชัดเจนไม่กำกวม ควรต้องเพิ่มคำบางคำเข้าไป เช่น
หล่อนเป็นคนรับใช้ของบ้านฉัน หรือ
หล่อนเป็นคนที่ใช้ฉันเอง
๒.๔ การใช้ถ้อยคำอย่างประหยัด การใช้ถ้อยคำในการพูดหรือเขียน สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (๒๕๒๒ : ๑๓) ให้หลักว่า การจะใช้คำแต่ละคำลงไปต้องให้ได้ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งใน ๓ ประการต่อไปนี้ ให้ความรู้เพิ่มขึ้น ให้เกิดความเข้าใจดียิ่งขึ้น และให้เกิดทรรศนะ หรือเกิดความคิดเห็นเพิ่มขึ้น
ถ้าคำใดไม่ให้ประโยชน์ใน ๓ ประการนี้เลย พึงตัดออกได้ ปัจจุบันปัญหาการใช้คำอย่างไม่ประหยัดหรือการใช้คำฟุ่มเฟือยเป็นปัญหาที่พบมากตามสื่อต่าง ๆ ลักษณะการใช้คำฟุ่มเฟือยมี ๒ ลักษณะคือ
๒.๔.๑ การใช้คำมากแต่ได้ความเท่าเดิม เช่น คณะทำงานกำลังทำ
การเจรจาอยู่กับผู้นำการประท้วง ประโยคนี้ หากใช้ว่า "กำลังเจรจา" แทน "กำลังทำการเจรจา"
จะได้ความเท่ากัน
หรือประโยคว่า เขาได้รับความพอใจในการที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการสาขา
ควรใช้ว่า เขาพอใจที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการสาขา
อนึ่ง คำที่นิยมใช้มากที่สุดและใช้กันอย่างค่อนข้างพร่ำเพรื่อ คือ คำว่า "ทำการ" นำหน้ากริยา แทนที่จะใช้คำกริยานั้น โดด ๆ เช่น ทำการศึกษา ทำการปล้น ทำการประชุม ทำการประท้วง ทำการชี้แจง เป็นต้น คำดังกล่าว หากตัดคำว่า "ทำการ" ออกเสีย ก็จะได้ความหมายเท่าเดิม และได้ประโยคที่กระชับกว่าด้วย
๒.๔.๒ การใช้คำซ้ำความเดิม กล่าวคือใช้คำเพิ่มเข้ามามาก ทั้ง ๆ ที่มีคำหรือวลีอื่นๆบอกความหมายนั้นอยู่ในตัวแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องซ้ำให้มากความออกไป เช่น เธอพูดเบา ๆ ไม่ดังนักกับสามี
ขวัญยืนเป็นคนเดียวที่รอดมาพร้อมกับชีวิต
เขาเป็นคนแก่ที่มีอายุอานามมากแล้ว
วลีที่เน้นตัวหนา เป็นการซ้ำกับความที่อยู่ข้างหน้าแล้ว จึงทำให้ข้อความนั้น เยิ่นเย้อโดยไม่จำเป็นจึงควรตัดออกเสีย
ดุษฎีพร ชำนิโรคศานต์ (๒๕๒๖:๙๖) ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้คำฟุ่มเฟือย ไว้ว่า "การใช้คำฟุ่มเฟือยไม่ใช่ข้อบกพร่องที่ร้ายแรง แต่ผู้รักภาษาก็ควรเอาใจใส่รู้ลักษณะ รู้วิธีแก้ไข และไม่ใช่พร่ำเพรื่อ แต่ไม่ควรถือเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังมากจนถึงกับปิดกั้นความคิด ทำให้ไม่กล้าพูด ไม่กล้าเขียน หรือไม่กล้าแสดงออก"
๒.๕ การใช้คำให้เหมาะกับกาลเทศะและบุคคล
๒.๕.๑ การใช้คำให้เหมาะกับกาลเทศะ ได้แก่ รู้ว่าเมื่อใดควรใช้คำหรือประโยคอย่างไร เช่น การให้โอวาท การแสดงปาฐกถา การรายงานทางวิชาการ การเขียนตำราทางวิชาการ ต้องใช้ภาษาระดับทางการ หรือภาษามาตรฐาน ในขณะที่การติดต่อสื่อสารอย่างไม่เป็นทางการกับผู้ที่ไม่สนิทสนมคุ้นเคย หรือติดต่อกับผู้สนิทสนมในสถานการณ์กึ่ง ทางการ ก็ควรใช้ถ้อยคำในระดับกึ่งทางการ หรือกึ่งมาตรฐาน
ส่วนการติดต่อพูดคุยกับผู้สนิทสนมคุ้นเคย ก็นิยมใช้ถ้อยคำระดับภาษาปาก หรือภาษาไม่เป็นทางการ เช่น ราชภัฏ (สถาบันราชภัฏ) เอกตลาด (วิชาเอกการตลาด) สองโล (สองกิโลกรัม) เป็นต้น
๒.๕.๒ การใช้คำให้เหมาะสมกับบุคคล บุคคลหมายถึงผู้พูด ผู้ที่เราพูดด้วย และผู้ที่เรากล่าวถึง เช่น ควรรู้ว่าเมื่อไรเหมาะที่จะใช้สรรพนามแทนผู้พูดว่า ผม กระผม ข้าพเจ้า ฉัน ดิฉัน หรือหนู เป็นต้น
การใช้คำกริยาก็ต้องใช้ให้เหมาะแก่บุคคล เช่น ตาย เสียชีวิต หรือถึงแก่กรรมใช้กับบุคคลธรรมดาสามัญ ถ้าใช้กับพระสงฆ์ ต้องใช้มรณภาพ และถ้าใช้กับเจ้านายระดับ ต่าง ๆ ก็ใช้คำราชาศัพท์ให้เหมาะแก่ศักดิ์ เช่น ทิวงคต พิราลัย สวรรคต เป็นต้น
๒.๖ การใช้คำต่างประเทศ ปัจจุบันเรามักเห็นการนำคำทับศัพท์ในภาษาอังกฤษปะปนในภาษาพูดและเขียนในภาษาไทยอย่างค่อนข้างฟุ่มเฟือย และขาดระเบียบ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
เบิร์ดเป็นนักร้องนักแสดงซูเปอร์สตาร์ของเมืองไทย (ยอดนิยม)
หน้าตาของหล่อนดูซีเรียสอย่างไรอย่างไรชอบกล (เครียด)
แบงก์เปิดให้บริการตลอดทั้งวัน (ธนาคาร)
คำภาษาอังกฤษที่มีผู้นิยมใช้เสมอเช่น
บิ๊กบอส = ผู้จัดการใหญ่ (big boss)
คอรัปชั่น = ทุจริตต่อหน้าที่ (corruption)
เคลียร์ = ทำความเข้าใจ (clear)
เทคโอเวอร์ = ควบคุมกิจการ (take over)
ทัวร์ = ท่องเที่ยว (tour)
แบน = ห้าม (ban)
สปิช = กล่าวสุนทรพจน์ (speech)
ฯลฯ.
จากตัวอย่างต่าง ๆ ดังกล่าว แสดงว่าผู้ใช้ภาษาขาดความระมัดระวัง และขาดความรอบคอบเรื่องของการใช้ถ้อยคำ ใช้ภาษาอังกฤษโดยไม่จำเป็น และขาดระเบียบ ทำให้ภาษาที่ใช้เป็นภาษาพันทางไป ดังนั้นผู้ใช้ภาษาจึงควรตระหนักและถือหลักอยู่เสมอว่า เราจะใช้ภาษาอังกฤษก็เฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
การสร้างคำในภาษาไทย
ภาษาไทยมีการสร้างคำใหม่ด้วยวิธีต่าง ๆ ได้แก่ การประสมคำ เรียกว่าคำประสม การซ้อนคำ เรียกว่า คำซ้อน และการซ้ำคำ เรียกว่า คำซ้ำ
คำประสม
คำประสม คือ การนำหน่วยคำอิสระ หรือหน่วยคำที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง ที่มีความหมายต่างกันตั้งแต่ ๒ หน่วย ขึ้นไป มาประสมกันแล้วเกิดเป็นคำใหม่ และมีความหมายใหม่ที่มีเค้าหรือนัยของหน่วยคำที่นำมาประสมกัน เช่นหน่วยคำว่า / น้ำ / มีความหมายว่า “ของเหลวใสใช้ดื่ม” ประสมกับหน่วยคำ / แข็ง / ซึ่งมีความหมายว่า “ไม่อ่อน ไม่นิ่ม” เป็น น้ำแข็ง มีความหมายว่า “น้ำที่ถูกความเย็นจัดจนแข็งตัวเป็นก้อน” เป็นต้น
การจำแนกลักษณะของคำประสม
การจำแนกคำประสม คำประสมเป็นการสร้างคำใหม่วิธีหนึ่ง ที่ช่วยให้มีคำใช้ใน
ภาษามากขึ้น คำประสมในภาษาไทยจำแนกออกตามหมวดคำชนิดต่าง ๆ ได้ ๓ ลักษณะคือ
๑. คำประสมที่ใช้เป็นคำนาม เป็นคำประสมที่ใช้เป็นชื่อสื่อของสิ่งต่าง ๆ ที่มี
ความหมายจำกัด เช่น ปากกา เครื่องใน ปูทะเล แม่บ้าน น้ำเน่า เบี้ยล่าง เป็นต้น
๒. คำประสมที่ใช้เป็นคำวิเศษณ์ ใช้ขยายนามหรือกริยา คำประสมชนิดนี้อาจ
ใช้ในความหมายธรรมดา และความหมายเป็นเชิงอุปมา
๒.๑ ใช้ในความหมายธรรมดา เช่น
(ผ้า) กันเปื้อน (กริยา + กริยา)
(สมุด) วาดเขียน (กริยา + กริยา)
(โขน) กลางแปลง (บุรพบท + นาม)
(ย่าง) สามขุม (วิเศษณ์ + นาม)
(ยิง) เผาขน (กริยา + นาม)
(นั่ง) คอตก (นาม + กริยา)
๒.๒ ใช้ในความหมายเป็นเชิงอุปมา เช่น
(นักเลง) หัวไม้ (นาม + นาม)
(นก) สองหัว (วิเศษณ์ + นาม)
(ยืน) คอตก (นาม + กริยา)
๓. คำประสมที่ใช้เป็นคำกริยา ซึ่งมักมีความหมายไปในเชิงอุปมา เช่น
ยิงปืน (กริยา + นาม)
ตัดเสื้อ (กริยา + นาม)
อกหัก (นาม + กริยา)
ถือดี (กริยา + วิเศษณ์)
แข็งใจ (วิเศษณ์ + นาม)
การสังเกตคำประสม
คำประสมเมื่อเวลาเรียงคำเข้าประโยค คำประสมบางคำมีลักษณะเหมือนกับเป็น
คำเดี่ยว ในขณะที่คำเดี่ยวบางคำก็มีลักษณะเหมือนคำประสม จึงทำให้เกิดปัญหาบ้างในการสังเกตคำประสม การสังเกตคำประสมมีหลายวิธีดังนี้
๑. เป็นคำที่ประสมแล้วความหมายไม่เหมือนคำเดี่ยวเดิม แต่จะไม่ทิ้งความหมายเดิมเสียทีเดียว เช่น พ่อตา ลูกเสือ แม่ทัพ นายเรือ
๒. เป็นคำที่เมื่อประสมแล้วความหมายจะเป็นไปในเชิงอุปมา แม้ว่าคำเดี่ยวเดิมจะมีความหมายคงที่แล้ว เช่น อกหัก ใจหาย วิ่งราว ช้ำใจ
๓. เป็นคำที่ย่อมาจากใจความมาก เช่น ชาววัง หมายถึงคนที่อยู่ในวัง คำที่มีลักษณะย่อมาจากใจความเช่น
ชาว ชาวนา ชาวไร่ ชาวเมือง
ช่าง ช่างไม้ ช่างเขียน ช่างภาพ ช่างปูน
นัก นักเรียน นักรบ นักเลง นักดนตรี
หมอ หมอยา หมอความ หมอดู หมอกลางบ้าน
ผู้ ผู้ร้าย ผู้ดี ผู้อ่าน ผู้เขียน
ของ ของกิน ของใช้ ของหวาน ของเล่น
ที่ ที่นอน ที่ดิน ที่อยู่ ที่อาศัย
เครื่อง เครื่องบิน เครื่องเรือน เครื่องคิดเลข เครื่องเพชร
คำซ้อน
คำซ้อน คือ คำที่เกิดจากการนำหน่วยคำอิสระที่มีความหมายเหมือนกันหรือเป็น
ไปในทำนองเดียวกัน หรืออาจมีความต่างกันในลักษณะตรงกันข้าม ตั้งแต่ ๒ หน่วย มาซ้อนเข้าคู่กันเกิดเป็นคำใหม่ คำซ้อนโดยทั่วไปมีความหมายไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อย่างไรก็ดี
คำซ้อนบางคำก็อาจมีความหมายเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้
ลักษณะของการเกิดคำซ้อน
การเกิดคำซ้อนขึ้นในภาษาทำให้เกิดคำใหม่ขึ้น เป็นการสนองตอบความต้องการ
การสื่อสารที่มีขอบเขตกว้างขวางขึ้น คำซ้อนเกิดขึ้นในหลายลักษณะดังนี้
๑. คำซ้อนที่เกิดจากหน่วยคำที่มีความหมายเหมือนกัน เช่น บ้านเรือน ทุบตี ดื้อดึง แข็งแรง ขัดข้อง ฆ่าฟัน เป็นต้น
๒. คำซ้อนที่เกิดจากหน่วยคำที่มีความหมายเป็นไปในทำนองเดียวกัน เช่น ใจคอ เนื้อตัว หัวหู ลูกหลาน ห้ำหั่น อุ้มชู เป็นต้น
๓. คำซ้อนที่เกิดจากหน่วยคำที่มีความหมายต่างกันในลักษณะตรงกันข้าม เช่น เท็จจริง ดีร้าย ชั่วดี ผิดชอบ ได้เสีย เป็นต้น
ลักษณะทางความหมายของคำซ้อน
การนำคำตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไปมาซ้อนกัน ทำให้ความหมายของคำที่สร้างขึ้นใหม่มัลักษณะทางความหมายแตกต่างกันจำแนกได้ ๒ ลักษณะคือ คำซ้อนที่มีความหมายใหม่แปลกไปจากเดิม และคำซ้อนที่มีความหมายคงที่ ดังนี้
๑. คำซ้อนที่มีความหมายแปลกไปจากเดิม คำซ้อนในลักษณะนี้มี ๒ ลักษณะ คือ
๑.๑ ความหมายปรากฏอยู่ที่ส่วนหน้าหรือส่วนหลังเพียงส่วนเดียว โดยอีกส่วนหนึ่งอาจแสดงนัยของความหมายแฝงอยู่ในคำซ้อนนั้น เช่น
ใจคอ ในคำว่าใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว (ความหมายอยู่ที่ส่วนหน้า)
หัวหู ในคำว่า หัวหูดูยุ่ง (ความหมายอยู่ที่ส่วนหน้า)
หูตา ในคำว่า หูตาแวววาว (ความหมายอยู่ส่วนหลัง)
เนื้อตัว ในคำว่า เนื้อตัวมอมแมว (ความหมายอยู่ที่ส่วนหลัง)
๑.๒ คำซ้อนที่เกิดจากการนำหน่วยคำที่มีความหมายตรงข้ามมาซ้อนกัน ความหมายปรากฏเฉพาะส่วนหน้า หรือส่วนหลังเพียงส่วนเดียว เช่น
ผิดชอบ ในคำว่า ความรับผิดชอบ (ความหมายอยู่ที่ผิด)
เท็จจริง ในคำว่า ข้อเท็จจริง (ความหมายอยู่ที่จริง)
๑.๓ ความหมายของคำซ้อนปรากฏเด่นอยู่ที่ส่วนใดส่วนหนึ่ง โดยอีกส่วนหนึ่งจะช่วยเน้นให้ความหมายหนักขึ้น เช่น
ดื้อดึง มีลักษณะยิ่งกว่าดื้อ
เงียบเชียบ มีลักษณะ เงียบสนิท เงียบมากกว่า "เงียบ" คำเดียว
พร้อมเพรียง มีลักษณะครบถ้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากกว่าพร้อม
๑.๔ ความหมายของคำซ้อนปรากฏอยู่ที่ส่วนประกอบทั้งสองส่วน โดยที่ความหมายต่างไปจากความหมายของหน่วยคำที่นำมาซ้อนอยู่หน้า เช่น
ถ้วยชาม หมายถึง ถ้วยชาม และภาชนะอย่างเดียวกันอื่น ๆ อีกด้วย
พี่น้อง หมายถึง พี่น้องรวมทั้งผู้ที่จะเป็นเชื้อสายเดียวกันด้วย
ลูกหลาน หมายถึง ลูก หลาน รวมทั้งผู้ที่สืบเชื้อสายอีกด้วย
๑.๕ ความหมายของคำซ้อนกว้างออก ไม่จำกัดเฉพาะความหมายของ หน่วยคำที่นำ มาซ้อนกัน เช่น
ฆ่าฟัน หมายถึง การทำให้ตายด้วยอาวุธต่าง ๆ ไม่เฉพาะด้วย ดาบ
ทุบตี หมายถึง การทำร้ายด้วยวิธีต่าง ๆ ไม่เฉพาะ ทุบ หรือ ตี เท่านั้น
๑.๖ คำซ้อนที่มีความหมายใหม่ เป็นความหมายเชิงอุปมาเปรียบเทียบ โดยแสดงนัยของความหมายของหน่วยคำที่นำมาซ้อนกัน เช่น
ค้ำจุน ในที่นี้หมายถึงการพยุงฐานะ
ดูดดื่ม ในที่นี้ใช้กับความรู้สึกที่ซาบซึ้ง
อ่อนหวาน ในที่นี้ใช้กับถ้อยคำที่ไพเราะ
๒. คำซ้อนที่มีความหมายคงที่ เกิดจากการนำชนิดของหน่วยคำมา ซ้อนกันใน
ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนี้
๒.๑ คำซ้อนที่เกิดจากหน่วยคำที่เป็นคำไทย ซ้อนกับหน่วยคำที่ยืมมาจากภาษาอื่นหรือเป็นหน่วยคำที่มาจากภาษาอื่นทั้งสองส่วน ดังนี้
๒.๑.๑ คำไทยกับคำภาษาอื่น
แก่นสาร (ไทย - บาลี)
เค้ามูล (ไทย - บาลี)
แก่ชรา ”
ซากศพ (ไทย – สันสกฤต)
รูปร่าง (บาลี - ไทย)
ทรัพย์สิน (สันสกฤต –ไทย)
จิตใจ (บาลี –ไทย)
สูญหาย ” ผันแปร (ไทย - เขมร)
ล้างผลาญ ”
นุ่มนวล ”
เหาะเหิร ”
ขลาดกลัว (เขมร - ไทย)
โครงร่าง ”
ทรวงอก ”
เก่งกาจ ”
สงัดเงียบ ”
๒.๑.๒ คำภาษาอื่นกับภาษาอื่น
ยศศักดิ์ (สันสกฤต - สันสกฤต)
ยักษ์มาร (สันสกฤต - บาลี)
อิทธิฤทธิ์ (บาลี – สันสกฤต)
ฉลาดเฉลียว (เขมร - เขมร)
ปราบปราม ”
เกรียงไกร ”
๒.๒ คำซ้อนที่เกิดจากหน่วยคำที่เป็นคำไทย ซ้อนกับหน่วยคำภาษาไทย
ในลักษณะต่าง ๆ เช่น
ดินฟ้า (ไทยกลาง - ไทยกลาง)
บ้านเรือน ”
อิดโรย (ถิ่นเหนือ - ไทยกลาง)
อ้วนพี (ไทยกลาง - ถิ่นใต้)
เข็ดหลาบ (ไทยกลาง - ถิ่นใต้, อีสาน)
ภูเขา (ถิ่นอีสาน - กลาง)
คำซ้ำ
คำซ้ำ คือ คำที่เกิดจากการออกเสียงหน่วยคำเดียวกันซ้ำ ๒ ครั้ง โดยมี จุดมุ่งหมายเพื่อให้ความหมายเน้นหนักขึ้นหรือเบาลง ต่างไปจากความหมายของคำเดิมคำเดียวเป็นประการสำคัญ โดยมีเครื่องหมาย ไม้ยมก ( ๆ ) เขียนแทนคำซ้ำคำหลัง เช่น ใหญ่ใหญ่ เขียนเป็น ใหญ่ ๆ ดังดัง เขียนเป็น ดัง ๆ เป็นต้น
ลักษณะรูปคำของคำซ้ำ
ลักษณะของคำซ้ำหากพิจารณาตามรูปคำที่ปรากฏพบได้ใน ๒ ลักษณะดังนี้
๑. คำซ้ำประเภทคงรูปที่ซ้ำ เช่น เงียบ ๆ ร้อน ๆ เด็ก ๆ ฯลฯ.
๒. คำซ้ำประเภทเปลี่ยนเสียงของส่วนที่ซ้ำ การเปลี่ยนเสียงของส่วนที่ซ้ำนี้บางคำก็เปลี่ยนเสียงสระเช่น ยิงแยง เกลียดแกลด ดูเดอ อากงอาการ เป็นต้น บางคำก็เปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์ เช่น ย้าวยาว เกลี๊ยดเกลียด เบื๊อเบื่อ ดี๊ดี เป็นต้น
คำซ้ำกับการปรากฏความหมาย
หากพิจารณาเฉพาะด้านความหมายของคำซ้ำ คำซ้ำแต่ละคำมีความหมายเฉพาะ
คำแตกต่างไปจากคำเดี่ยวในหลายลักษณะ อาจกล่าวได้ดังนี้
๑. คำซ้ำบางคำมีความหมายเท่าคำเดิม เช่น
เขามาทำงานช้าเสมอ กับ เขามาทำงานช้าเสมอ ๆ
คุณพ่อจะเดินทางมาถึงราวสองโมงเช้า กับ คุณพ่อจะเดินทางมาถึงราว ๆ สองโมงเช้า
พนักงานโดยทั่วไปจะทำงาน ๒ กะ กับ พนักงานโดยทั่ว ๆ ไปจะทำงาน ๒ กะ
๒. คำซ้ำบางคำจะแสดงความหมายเป็นพหูพจน์ เช่น
เด็ก ๆ ไปไหนกันหมด (เด็กหลายคน)
ใคร ๆ เขาก็มากันทั้งนั้น (คนหลายคน)
๓. คำซ้ำบางคำมีความหมายหนักแน่น หรือเน้นให้ความหมายชัดเจนขึ้น เช่น
อ้างเหตุผลเท่าไร ๆ ก็ยังไม่ขึ้น
ต้องพูดดัง ๆ เขาจึงจะได้ยิน
พูดเร็ว ๆ อย่างนี้ใครจะฟังทัน
วินัย ภู่ระหงษ์ (๒๕๓๔ : ๘๗-๘๘) ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำซ้ำที่ทำให้ความหมายหนักแน่นขึ้น สรุปได้ดังนี้
๓.๑ คำซ้ำที่ซ้ำหมวดคำบุรพบทหรือคำขยาย ใช้ขยายกริยาเมื่อเป็นคำสั่ง จะบอกความหมายเน้น เช่น นั่งใน ๆ ยืนกลาง ๆ เย็บตรงริม ๆ วางใต้ ๆ เดินเร็ว ๆ ฯลฯ
๓.๒ คำซ้ำที่เปลี่ยนระดับเสียงของส่วนหน้าเป็นเสียงตรี จะเน้น ความหมายของคำเดิมให้มีน้ำหนักเด่นชัดขึ้น เช่น
เสื้อตัวนี้ด๊ำดำ
ใบหน้าของเธอค้าวขาว
ฉันเบื๊อเบื่อที่นี่
๔. คำซ้ำบางคำมีความหมายเบาลงไม่เจาะจงแน่นอน เช่น
บ้านหล่อนอยู่แถว ๆ หน้าสถาบันราชภัฏกาญจนบุรี
ฉันพบเขาตอนบ่ายโมงเศษ ๆ
ดูเขาจะใส่เสื้อสีแดง ๆ นะ
หล่อนนั่งอยู่แถวหน้า
ร้านนี้มีแต่ของสวย ๆ งาม ๆ
๕. คำซ้ำบางคำที่ซ้ำคำนาม หรือคำบอกจำนวนนับ ถ้ามีคำว่า “เป็น” มาข้างหน้า จะแสดงความหมายว่า มีจำนวนมากกว่าหนึ่ง แต่แยกออกเป็นส่วน ๆ เช่น
เดินเข้ามาเป็นคู่ ๆ (เข้ามาทีละ ๒ คน)
ชั่งน้ำตาลเป็นกิโล ๆ (ชั่งทีละ ๑ กิโลกรัม)
แตกกันเป็นเสี่ยง ๆ (มีหลายเรื่องแต่กระจายให้เห็นแต่ละเรื่อง)
เขียนเป็นบท ๆ (มีหลายบทแต่เขียนทีละบท)
๖. คำซ้ำบางคำมีความหมายเปลี่ยนไปจากความหมายเดิม เช่น
ของกล้วย ๆ เมื่อไหร่ก็ทำได้ (กล้วยหมายถึงผลไม้ กล้วย ๆ หมายถึง ง่าย)
อยู่ ๆ หล่อนก็ลุกออกไป (ไม่คาดคิด)
ทำงานลวก ๆ อย่างนี้ จะดีได้อย่างไร (หยาบ ๆ )
ไป ๆ มา ๆ เราก็รักกันจนได้ (ในที่สุด)
ดี ๆ ชั่ว ๆ เราก็สายเลือดเดียวกัน (อย่างไรก็ตาม)
ความรู้เกี่ยวกับประโยค
ประโยค คือคำหรือกลุ่มคำที่นำมาเรียบเรียงกันขึ้นเพื่อให้ได้เนื้อความบริบูรณ์ ชัดเจน วัลยา ช้างขวัญยืน (๒๕๔๐ : ๒๖) กล่าวว่า “คำจะแสดงความคิดและอารมณ์ได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจนก็ต่อเมื่อประกอบกันเป็นประโยค ประโยคจึงทำหน้าที่เป็นหน่วยพื้นฐานของความคิดกล่าวคือ ในการแสดงความคิดที่สมบูรณ์แต่ละครั้งต้องใช้ประโยคอย่างน้อยหนึ่งประโยค”
ประโยคประกอบด้วยส่วนที่สำคัญอย่างน้อย ๒ ส่วน คือ ส่วนที่เป็นภาคประธานและส่วนที่เป็นภาคแสดง ประโยคที่ง่ายที่สุดจึงมีส่วนประกอบคือ ประธานและกริยา เช่น อาจารย์พูด ลุงเดิน เป็นต้น แต่ในการสื่อสารเพื่อให้ได้เรื่องราวที่ละเอียดชัดเจน ประโยคอาจต้องมีหน่วยที่ทำหน้าที่เป็นกรรม เช่น นักเรียนรับประทานขนม แม่ทำกับข้าว เป็นต้น หรืออาจต้องมีส่วนขยายส่วนต่าง ๆ เพิ่มขึ้น คือ ส่วนขยายประธาน ขยายกริยา และส่วนขยายกรรมดังนี้
ภาคประธาน
ภาคแสดง
ประธาน
ส่วนขยายประธาน
กริยา
กรรม
ส่วนขยายกรรม
ส่วนขยายกริยา
น้อง
น้อง
วัยรุ่น
ของฉัน
คนเล็กของฉัน
ข้างบ้าน
เล่น
ชอบอ่าน
เปิด
กีฬา
หนังสือ
โทรทัศน์
ฟุตบอล
นวนิยาย
-
เก่งมาก
มาก
ดังลั่น
ชนิดของประโยค
ส่วนประกอบของประโยคเกิดจากการนำคำหรือกลุ่มคำมาเรียงให้ต่อเนื่องสัมพันธ์กัน ดังนั้น การแบ่งประโยคตามลักษณะของส่วนประกอบประโยค อาจแบ่งเป็น ๓ ประเภท ได้แก่
๑. ประโยคความเดียว (เอกรรถประโยค) คือ ประโยคที่มีใจความเพียงอย่างเดียว มีส่วนประกอบคือ ประธาน และกริยา และถ้ากริยานั้นต้องการกรรม ก็จะมีกรรมอยู่ในประโยคด้วย เช่น ฟ้าร้อง หรือ ฉันกลับไปบ้าน เป็นต้น นอกจากนี้อาจมีคำขยายประธาน กริยา หรือ กรรม ได้ด้วย เช่น เด็กคนนั้นต้องกลับไปบ้านเสมอ ๆ
๒. ประโยคความรวม (อเนกรรถประโยค) คือ ประโยคที่มีใจความเดียวตั้งแต่ ๒ ประโยคขึ้นไป นำมาเรียงรวมกัน โดยมีสันธานเชื่อม ประโยคความเดียวที่นำมารวมกันจะต้องเป็นประโยคที่มีความสำคัญเสมอกัน เช่น พี่ชอบฟังเพลงลูกทุ่ง แต่น้องชอบฟังเพลงสากล ประโยคความรวมแบ่งตามชนิดของสันธานได้เป็น ๔ ชนิดคือ
๒.๑ ประโยคความรวมที่มีเนื้อความคล้อยตามกัน มักเชื่อมด้วยสันธาน ต่อไปนี้ ก็ และ แล้ว จึง แล้วก็ แล้ว…จึง ครั้น…ก็ ฯลฯ ดังตัวอย่าง
พ่อและแม่เดินทางไปด้วยกัน
ครั้นอาจารย์เดินทางมาถึงนักศึกษาก็ปรบมือต้อนรับ
๒.๒ ประโยคความรวมที่มีเนื้อความขัดแย้งกัน มักเชื่อมด้วยสันธานต่อไปนี้ แต่ แต่ทว่า แต่ว่า แต่ก็ ฯลฯ ดังตัวอย่าง
ผมอยากจะมาเยี่ยมคุณแต่ก็ยังไม่สามารถจะมาได้
เราตั้งใจจะเรียนให้สำเร็จภายในสี่ปีแต่ทว่าต้องพบกับอุปสรรค
๒.๓ ประโยคความรวมที่มีเนื้อความให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
มักเชื่อมด้วยสันธานต่อไปนี้ หรือ มิฉะนั้น ไม่เช่นนั้น ไม่อย่างนั้น หรือไม่ก็ ฯลฯ ดังตัวอย่าง
คุณจะอ่านหนังสือหรือจะฟังเพลง
นักเรียนต้องมาพบครูวันพรุ่งนี้มิฉะนั้นครูจะไม่พาไปขึ้นรถไฟฟ้า
๒.๔ ประโยคความร่วมที่มีเนื้อความเป็นเหตุเป็นผลกัน ประโยค-
ความรวมชนิดนี้มีลักษณะคล้ายประโยคความรวมที่มีเนื้อความคล้อยตามกัน แต่ประโยค
ความรวมที่มีเนื้อความเป็นเหตุเป็นผลกัน จะเน้นที่ความเป็นเหตุนำไปสู่ผล มักเชื่อมด้วย
สันธานต่อไปนี้ จึง ฉะนั้น ดังนั้น เพราะฉะนั้น ดังตัวอย่าง
รถติดมากนักเรียนจึงมาเรียนไม่ทันชั่วโมงแรก
เขาตั้งใจอ่านหนังสือเพราะฉะนั้นเขาจึงสอบได้คะแนนดี
๓. ประโยคความซ้อน (สังกรประโยค) คือ ประโยคความรวมชนิดหนึ่ง ที่มีประโยคความเดียว ๒ ประโยค ที่มีความสำคัญไม่เสมอกัน มาเรียงซ้อนกัน ประโยคที่มี ใจความหลักเรียกว่า มุขยประโยค ประโยคที่มีใจความสำคัญรองเป็นส่วนขยาย เรียกว่า อนุประโยค ประโยคความซ้อน แบ่งออกเป็น ๓ ชนิด ตามชนิดของอนุประโยคคือ
๓.๑ ประโยคความซ้อนที่มีนามานุประโยคเป็นส่วนประกอบ นามานุ-ประโยคคือ อนุประโยคที่ทำหน้าที่แทนคำนาม สรรพนามหรือกริยาสภาวมาลา เช่น
ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เป็นพุทธภาษิต
ฉันนับถือคนมีใจเมตตากรุณา
๓.๒ ประโยคความซ้อนที่มีคุณานุประโยคเป็นส่วนประกอบ
คุณานุประโยค คืออนุประโยคที่ทำหน้าที่เป็นวิเศษณ์ประกอบคำนามหรือสรรพนาม มีประ-พันธสรรพนาม ผู้ ที่ ซึ่ง อัน เป็นบทเชื่อม เช่น
นักกีฬาที่ขยันฝึกซ้อมย่อมประสบความสำเร็จ
ผมชอบผู้บังคับบัญชาที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล
๓.๓ ประโยคความรวมที่มีวิเศษณานุประโยคเป็นส่วนประกอบ วิเศษณานุประโยค คือ อนุประโยคที่ทำหน้าที่เป็นวิเศษณ์ประกอบกริยา หรือ คำวิเศษณ์ด้วยกัน และมีคำ เมื่อ จน เพราะ ฯลฯ เป็นบทเชื่อม เช่น
ฝนตกเมื่อหล่อนมาถึง
เขาอ่านหนังสืออย่างหนักจนได้รับเกียรตินิยม
ชาวกาญจนบุรีคัดค้านโครงการวางท่อก๊าซเพราะป่าไม้ตลอด แนวท่อถูกทำลาย
การสร้างประโยค
การนำคำมาเรียบเรียงให้เกิดข้อความหรือประโยคตามที่ต้องการนั้นเรียกว่า การสร้างประโยคหรือผูกประโยค การสร้างประโยคที่ดีควรคำนึงถึงหลักเกณฑ์ ๔ ประการ ดังนี้
๑. การสร้างประโยคให้ถูกต้องชัดเจน ประโยคที่ถูกต้องและชัดเจนผู้เขียนควรคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้
๑.๑ สร้างประโยคตามรูปประโยคของภาษาไทย รูปประโยคที่ใช้ในภาษาไทยมี ๔ รูปคือ
๑.๑.๑ ประโยคประธาน คือ ประโยคที่ใช้ผู้กระทำขึ้นต้นประโยค เช่น ตำรวจเป่านกหวีดให้สัญญาณจราจร พ่อชอบอ่านหนังสือ ประธานนักศึกษากล่าวต้อนรับนักศึกษาใหม่
๑.๑.๒ ประโยคกรรม คือ ประโยคที่ใช้ผู้ถูกกระทำขึ้นต้นประโยค
เมื่อต้องการเน้น เช่น หนังสือเล่มนี้พ่อชอบอ่าน นักเรียนถูกสุนัขกัด เฉลิมถูกคนร้ายปล้น
การใช้กรรมขึ้นต้นประโยคอาจใช้ได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น โดยเฉพาะประโยคที่ใช้คำว่า "ถูก" นิยมใช้ ในกรณีที่ผู้รับไม่ยินดีที่จะรับหรือทำสิ่งนั้น เช่น ถูกตี ถูกตำหนิ ถูกปล้น เป็นต้น กรณีที่ผู้รับยินดีหรือเต็มใจที่จะรับหรือทำสิ่งนั้นจะใช้คำว่า "ได้รับ" เช่น เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าแผนก หรือ อธิการบดีได้รับเชิญให้เป็นผู้กล่าวเปิดการสัมมนา
ปัจจุบันอาจมีการใช้คำว่า "ได้รับ" กับกรณีที่ผู้รับไม่ยินดีที่จะรับ เช่น "พนักงานได้รับการตำหนิอย่างรุนแรง" "เขาได้รับการลงโทษจำคุกตลอดชีวิต" อาจเป็นเพราะว่า น้ำหนักของประโยคดูเบาลง และเป็นการรักษาน้ำใจผู้รับสิ่งไม่ดี
๑.๑.๓ ประโยคกริยา คือประโยคที่ใช้คำกริยาขึ้นต้นประโยคเพื่อให้กริยาเด่น ส่วนมากคำกริยาที่ใช้ขึ้นต้นประโยค ได้แก่คำว่า เกิด มี ปรากฏ เช่น เกิดไฟไหม้ขึ้นที่ตลาดสด
ปรากฏท้องฟ้ามืดคลึ้มทางทิศตะวันออก
๑.๑.๔ ประโยคการิต คือ ประโยคประธานหรือประโยคกรรมที่มีผู้รับใช้อยู่ด้วย เช่น
พ่อส่งจดหมายไปถึงลูก
พี่ใช้ให้น้องไปซื้อขนมจีน
๑.๒ การเรียงคำให้ถูกที่ ตามปรกติประโยคที่มีแต่ประธาน กริยา กรรม นั้นมักไม่เกิดปัญหาเรื่องความถูกต้องชัดเจน แต่การสร้างประโยคจบยุ่งยากขึ้น กรณีประโยคซับซ้อน มีข้อความขยายเพิ่มหลาย ๆ ส่วน จึงต้องระมัดระวังการวางส่วนขยายให้ถูกที่ เช่น
เธอช่วยปลอบความทุกข์เขาให้คลาย
ควรเรียงคำใหม่ดังนี้ เธอช่วยปลอบเขาให้คลายความทุกข์
แดงร้องตะโกนเรียกรถประจำทางซึ่งกำลังเคลื่อนออกจากที่จอดอย่างลืมตัว
ควรเรียงคำใหม่ดังนี้ แดงร้องตะโกนอย่างลืมตัวเรียกรถประจำทางซึ่ง
กำลังเคลื่อนออกจากที่จอด
๑.๓ การเขียนประโยคให้สิ้นกระแสความ ได้แก่การไม่ละความบทใด บทหนึ่งของประโยคให้ขาดหายไป หรือไม่จบกระแสความ ทำให้ข้อความประโยคนั้นไม่ ชัดเจน ตัวอย่าง
เขาสงสัยเรื่องคนร้ายที่ได้แจ้งตำรวจไว้แล้ว
ประโยคนี้หลังคำว่า ที่ ขาดบทประธาน ทำให้ไม่แน่ใจว่าใครเป็นผู้แจ้งตำรวจไว้ จึงควรแก้ไขเป็น เขาสงสัยเรื่องคนร้ายที่เขาได้แจ้งตำรวจไว้แล้ว
เมื่อเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความแคลงใจในความเที่ยงธรรมของศาลควร
หันมาตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาด บกพร่องอย่างรอบคอบโดยทันที
ประโยคนี้ไม่ชัดเจนว่า "ใคร" เกิดความแคลงใจ และ "ใคร" ควรหันมาตรวจสอบ จึงควรระบุ "ผู้ทำ" ดังนี้
เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ประชาชนเกิดความแคลงใจในความ เที่ยงธรรมของศาล บรรดาผู้พิพากษาควรหันมาตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดบกพร่องอย่างรอบคอบโดยทันที
๑.๔ การเว้นวรรคตอนให้ถูกต้องเหมาะสม การเรียงลำดับคำในประโยคหากเว้นวรรคตอนไม่ถูกที่ อาจทำให้ความหมายของสารที่ต้องการสื่อไม่ชัดเจน หรือทำให้ความหมายเปลี่ยนไปได้ ดังนั้นผู้ใช้ภาษาจึงควรระมัดระวังเรื่องการแบ่งวรรคตอน ดังตัวอย่างการเรียงลำดับที่เว้นวรรคตอนไม่ถูกที่ ดังตัวอย่าง
ไม่เป็นการฉลาด ที่จะเชื่อมั่นในสติปัญญา ของตนมากเกินไป
ความรู้ทำให้มนุษย์เข้าถึงความจริง การเข้าใจ ความจริงทำให้มนุษย์เกิดปัญญา มีคุณธรรม จริยธรรม รู้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดควรเว้นอันจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลตน และผู้อื่น
ประโยคแรกเป็นประโยคความเดียวที่มีเนื้อความสั้น ๆ จึงไม่ควรแบ่งวรรคตอน
ใด ๆ ควรเขียนดังนี้
ไม่เป็นการฉลาดที่จะเชื่อมั่นในสติปัญญาของตนมากเกินไป
ส่วนประโยคที่สองมีความยาวของเนื้อความมากขึ้น ควรเขียนเว้น วรรคตอน
ดังนี้
ความรู้ทำให้มนุษย์เข้าถึงความจริง การเข้าใจความจริงทำให้มนุษย์เกิดปัญญา
มีคุณธรรม จริยธรรม รู้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดควรเว้นอันจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลตน และผู้อื่น
๑.๕ การใช้รูปประโยคและสำนวนภาษาอังกฤษ ปัจจุบันภาษาอังกฤษ เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนไทยมากขึ้น การเลียนสำนวนและรูปประโยคจากภาษาอังกฤษมาใช้ในภาษาไทยจึงแพร่หลายขึ้นด้วย สำนวนภาษาอังกฤษบางสำนวนเราใช้ กันบ่อย จนเป็นที่นิยมไปแล้วก็มี อย่างไรก็ตามผู้ใช้ภาษาควรหลีกเลี่ยงการใช้รูปประโยคและสำนวนภาษาอังกฤษ เมื่อจะพูดหรือเขียนควรคำนึงถึงการใช้รูปประโยคและสำนวนแบบไทย ใช้คำต่างประเทศเฉพาะที่เหมาะที่ควร ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้ภาษาไทยต้องสูญเสียลักษณะของภาษาไทยไป
ตัวอย่างการใช้รูปประโยคและสำนวนภาษาอังกฤษ
มันเป็นความจำเป็นที่ข้าพเจ้าต้องเดินทางไปต่างประเทศ
ควรเขียนว่า ข้าพเจ้าจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ
สำหรับเธอผู้ใหญ่ท่านสนับสนุนเต็มที่
ควรใช้คำว่า ผู้ใหญ่สนับสนุนเธอเต็มที่
รัฐบาลชุดนี้ภายใต้การนำของนายชวน หลีกภัย
ควรเขียนว่า นายชวน หลีกภัย เป็นผู้นำรัฐบาลชุดนี้ หรือรัฐบาลชุดนี้มีนายชวน หลีกภัย เป็นผู้นำ
หนังสือเล่มนี้แปลโดย ระวี ภาวิไล
ควรเขียนว่า ระวี ภาวิไล เป็นผู้แปลหนังสือเล่มนี้
เขาบิน / จับเครื่องบิน ไปบรรยายที่อังกฤษ
ควรเขียนว่า เขาโดยสารเครื่องบินไปบรรยายที่อังกฤษ
รัฐบาลจะต้องพยายามส่งออกข้าวให้มากกว่านี้
ควรเขียนว่า รัฐบาลจะต้องพยายามส่งข้าวออกให้มากกว่านี้
๒. การสร้างประโยคให้กระชับรัดกุมและสละสลวย ประโยคที่กระชับรัดกุม
และสละสลวย หมายถึงประโยคที่ใช้ถ้อยคำน้อยแต่กินความมาก กล่าวคือใช้คำเท่าที่จำเป็น
แต่สามารถสื่อความหมายได้มากที่สุด โดยมีหลักสังเกตดังนี้
๒.๑ การรวมความให้กระชับ ในกรณีที่ประโยคนั้นมีประธานหลายคำ แต่ทำกริยาร่วมกัน ก็ให้หาคำมาขมวดความให้กระชับ เช่น
ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก ทั้งหมดนี้ห้ามไว้วางใจ
ไม่ว่าจะปลาตะเพียน ปลาช่อน และปลาคัง ล้วนเป็นปลาน้ำจืดทั้งสิ้น
๒.๒ การใช้คำที่มีความหมายรวมแทน ซึ่งจะทำให้ประโยคสั้นกะทัดรัด ยิ่งขึ้น เช่น
พ่อ แม่ พี่น้อง ของข้าพเจ้าไปพักผ่อนที่ชายทะเลหัวหินกัน
ควรใช้ว่า ครอบครัวของข้าพเจ้าไปพักผ่อนที่ชายทะเลหัวหินกัน
พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่งของพุทธศาสนิกชน
ควรใช้ว่า พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งของพุทธศาสนิกชน
๓. การสร้างประโยคให้มีน้ำหนัก ประโยคที่มีน้ำหนักจะช่วยข้อความที่เขียนมี
ความชัดเจนและผู้อ่านสามารถทราบจุดเน้นของผู้เขียนได้ง่ายขึ้น การสร้างประโยคให้มี
น้ำหนักมีข้อควรคำนึงถึง ดังนี้
๓.๑ การวางตำแหน่งของคำที่ต้องการเน้นให้อยู่ในที่ซึ่งมีน้ำหนัก
ตามปกติตำแหน่งของคำที่มีน้ำหนักมากที่สุด คือคำที่เราต้องการเน้นมักอยู่ในตำแหน่งต้น-
ข้อความ เช่น
ประเทศไทยเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเกิดในประเทศไทย
บางประโยคก็อาจวางคำที่ต้องการเน้นไว้ท้ายประโยคได้ เช่น
คนใจแคบ เห็นแก่ตัวและอิจฉาผู้อื่นเป็นคนที่ไม่มีใครอยากคบ
สื่อสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงคือภาพยนตร์
๓.๒ การจัดความให้ขัดแย้งกัน ซึ่งบางครั้งทำให้ประโยคน่าฟังและมีน้ำหนักขึ้นแต่อย่างไรก็ดีไม่ควรจัดความในลักษณะนี้บ่อยนัก เช่น
ปัญหาของประเทศไทยก็คือ ทุกคนต้องการเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ยอมรับหน้าที่
บ้านเมืองยิ่งเจริญขึ้นเท่าใดคนก็ยิ่งหาความสุขได้ยากขึ้นเท่านั้น
๓.๓ การจัดความให้ก้ำกึ่งและเชื่อมโยงกันโดยใช้สันธานคู่
เป็นตัวเชื่อม เช่น
เมื่อใดเงินพูด เมื่อนั้นความจริงก็เงียบ
ถ้าคนหนึ่งไม่ทะเลาะด้วย สองคนก็ทะเลาะกันไม่ได้
ยาขมแม้จะไม่ถูกใจของทุกคน แต่สรรพคุณของมันก็ช่วยรักษาคนให้หายจากความป่วยไข้มามากต่อมาก
๓.๔ การใช้คำซ้ำ ๆ กัน ช่วยให้ข้อความมีน้ำหนัก เช่น
ขณะที่เรือนิ่ง คนนิ่ง น้ำนิ่ง ...ทว่าความคิดยิ่งเคลื่อนไหว
ไทยช่วยไทย กินของไทย ใช้ของไทย เที่ยวเมืองไทย ร่วมใจประหยัด
๔. การสร้างประโยคให้มีภาพพจน์ การสร้างประโยคให้มีภาพพจน์
หมายถึง การสร้างข้อความหรือประโยคให้ผู้อ่านผู้ฟังเกิดภาพขึ้นในใจ มีหลักในการสร้างดังนี้
๔.๑ การใช้ความเปรียบเทียบ เช่น
คำพูดที่เธอใส่ร้ายคนอื่นก็เหมือนกับนุ่นที่ปลิวไปตามกระแสลม ยากที่จะเก็บกลับมาเหมือนเดิมได้ คำพูดปลุกปลอบให้กำลังใจเปรียบดุจกระแสลมที่ช่วยพยุงว่าวที่กำลังดิ่งลงให้ล้อเล่นลมได้ใหม่
(เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ๒๕๓๙ : ๓๗)
๔.๒ การใช้ความที่เกินจริงมากล่าวเป็นเชิงเปรียบเทียบ เช่น
พ่อ แม่ ต้องทำงานหาเงินเลือดตาแทบกระเด็น
เขาบอกว่าคิดถึงฉันทุกลมหายใจ
ลักษณะทั่วไปของภาษาไทยดังกล่าว เป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงความมีอัจฉริย-ลักษณ์ของภาษาไทย ซึ่งนอกจากจะมีลักษณะบางประการเป็นสากลแล้ว ยังมีลักษณะเฉพาะบางประการอันแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนแตกต่างจากภาษาอื่นอย่างชัดเจน เหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่คนไทยควรจะภาคภูมิใจในภาษาของตน และช่วยกันรักษาวัฒนธรรมทางภาษาของเราให้บริสุทธิ์ ระมัดระวังในการใช้ภาษาไทยทั้งการพูด การเขียนให้ถูกต้อง เหมาะสมกับวัฒนธรรมการใช้ภาษาไทย ดังพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ที่พระราชทานกระแสพระราชดำริเรื่อง “ปัญหาการใช้คำไทย” ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๐๕ ความตอนหนึ่งว่า
“…เรามีโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ปัญหาเฉพาะในด้านรักษาภาษานี้ก็มีหลายประการ อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ ในทางออกเสียง คือให้ออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจน อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในวิธีใช้ หมายความว่า วิธีใช้คำมาประกอบเป็นประโยคนับเป็นปัญหาที่สำคัญ ปัญหาที่สาม คือความร่ำรวยในคำของภาษาไทยซึ่งพวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้…”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น